รากฟันเทียม คืออะไร ?

รากฟันเทียม หรือ Dental Implant คืออุปกรณ์ที่รูปร่างคล้ายสกรู จะทำหน้าที่เสมือนรากฟันของคนไข้ ไม่ว่าคนไข้จะสูญเสียฟันธรรมชาติไปจากอุบัติเหตุ หรือสาเหตุอื่นๆ รากฟันเทียมทำจากโลหะไททาเนียมแบบพิเศษ ซึ่งออกแบบให้พื้นผิวสามารถเชื่อมติดกับกระดูกขากรรไกรได้ดี ซึ่งจะคอยรับและกระจายแรงบดเคี้ยว และรองรับ ครอบฟัน ฟันปลอม หรือสะพานฟัน

การทำงานของรากฟันเทียม

  • คือการพยายามเลียนแบบรากฟันธรรมชาติให้คล้ายที่สุด เมื่อฝังรากฟันเทียมเสร็จ กระดูกจะค่อยๆ สร้างมาเกาะเชื่อมกับรากฟันเทียม
  • การมีรากฟันจะช่วยทำให้คนไข้สามารถเคี้ยวอาหารได้ดีขึ้น

ใครบ้างที่ควรทำรากฟันเทียม

  • คนไข้ที่สูญเสียฟันธรรมชาติไป
    หากคุณสูญเสียฟันไปด้วยสาเหตุต่างๆ (ถูกถอน หรืออุบัติเหตุ) คนไข้ควรเข้ารับการทดแทนฟันธรรมชาติโดยเร็ว หากทิ้งไว้นาน ฟันข้างเคียงจะล้มมายังบริเวณที่เป็นช่องว่าง ฟันคู่สบก็อาจมีปัญหา ซึ่งจะทำให้การรักษายุ่งยากซับซ้อน และเสียค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น
  • คนไข้ที่ใส่ฟันปลอมแบบถอดได้
    คนไข้ที่ใส่ฟันปลอมถอดได้บางรายมีสันเหงือกเตี้ย ทำให้ฟันปลอมหลุดง่ายเวลาบดเคี้ยวอาหาร การใส่รากฟันเทียมเพื่อเป็นตัวยึดกับฟันปลอมให้แน่นไม่หลุดง่ายจะช่วยแก้ปัญหาได้ คนไข้จะสามารถเคี้ยวอาหารได้ดีขึ้น

การทำรากฟันเทียมไม่เหมาะกับใคร

การทำรากฟันเทียมเป็นการผ่าตัดทางทันตกรรมประเภทหนึ่ง จึงมีข้อห้าม หรือข้อควรระวังในบางกรณี ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับการทำรากฟันเทียม

  •  มีการอักเสบหรือติดเชื้อ อยู่ในบริเวณที่ต้องการฝังรากฟันเทียม
  • มีโรคทางทันตกรรมอื่นๆ หรือสุขอนามัยช่องปากไม่ดีเพียงพอ เช่น มีฟันผุ เหงือกอักเสบ หรือโรคปริทันต์
  • มวลกระดูกไม่เพียงพอ

การทำรากฟันเทียมจำเป็นต้องมีมวลกระดูกที่หนาแน่น และเพียงพอที่จะยึดกับรากฟันเทียม กรณีมีมวลกระดูกน้อยหรือถูกทำลายจากสาเหตุต่างๆ เช่น โรคปริทันต์ หรืออุบัติเหตุ คุณอาจต้องได้รับการปลูกกระดูกก่อนทำรากฟันเทียม

  • การสูบบุหรี่ บุหรี่สามารถรบกวนกระบวนการหายของแผล ทำให้มีโอกาสสูงที่การทำรากฟันเทียมจะล้มเหลว
  • โรคทางระบบ โรคประจำตัวอาจเป็นข้อจำกัด เช่น โรคเบาหวาน หรือความดันโลหิตสูงที่ควบคุมได้ไม่ดี กระดูกพรุนระดับรุนแรง มะเร็ง และโรคที่ส่งผลให้เลือดออกได้ง่าย
  • ยาบางชนิด หากคนไข้รับประทานยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น Aspirin, Warfarin ทันตแพทย์อาจต้องปรึกษากับแพทย์ประจำตัวของคนไข้ ถึงความเสี่ยงของเลือดออก รวมถึงความจำเป็นในการหยุดยาก่อนทำรากฟันเทียม
  • ตั้งครรถ์ หากคนไข้กำลังตั้งครรถ์ในช่วงไตรมาสที่ 1 หรือ 3 ทันตแพทย์อาจเลื่อนการทำรากฟันเทียมออกไปเป็นหลักคลอด เนื่องจากความจำเป็นในการเอ็กซเรย์ รวมถึงหากท้องใหญ่ก็อาจจะนอนหงายทำฟันได้ไม่นาน และรู้สึกอึดอัดขณะทำการฝังรากฟันเทียมได้

หากไม่ทำรากฟันเทียมจะส่งผลกระทบอย่างไร

  • ฟันล้ม สบฟันผิดปกติ เมื่อมีช่องว่างเกิดขึ้น ฟันซี่ข้างเคียงจะล้ม หรือเคลื่อนที่เข้ามาในช่องว่างเสมอ นอกจากจะทำให้ ฟันล้ม ฟันเกแล้ว การสบฟันก็จะผิดปกติตามมาได้
  • กระดูกที่เคยเป็นเบ้าฟัน (alveolar bone) ที่อยู่ในขากรรไกรละลาย
  • ส่งผลต่อการออกเสียง ฟันเป็นหนึ่งในอวัยวะสำคัญที่เราใช้ช่วยในการพูด ผู้ที่สูญเสียฟันอาจพบปัญหาการออกเสียงบางคำที่ไม่ชัด
  • ดูไม่สวยงาม เมื่อคุณสูญเสียฟัน โดยเฉพาะฟันหน้าที่สามารถมองเห็นได้ง่าย หากไม่มีการทดแทน ก็อาจส่งผลเสียต่อบุคลิกภาพ ทำให้คนไข้ไม่กล้ายิ้ม ไม่กล้าพูด ขาดความมั่นใจ

ส่วนประกอบของรากฟันเทียม

รากฟันเทียมจะมีส่วนประกอบหลักๆ อยู่ 3 ส่วน

  1. Fixture
    เป็นส่วนที่เป็นสกรูฝังไปในกระดูกขากรรไกรทำหน้าที่เหมือนรากฟัน
  2. Abutment
    เชื่อมระหว่างสองส่วนเข้าด้วยกัน สามารถปรับมุมของข้อฟันด้านบนได้
  3. Prosthetic
    ส่วนทันตกรรมประดิษฐ์ด้านบนอาจจะเป็นครอบฟัน สะพานฟันหรือฟันปลอมก็ได้ ขึ้นอยู่กับจำนวนที่ที่คนไข้ต้องการ

รากฟันเทียมมีทั้งหมด 3 ชนิด

  1. Single Tooth Dental Implant – คือการทำรากฟันเทียมคู่กับการทำครอบฟัน แบบ 1:1 ใช้ในกรณีที่ฟันหายไปซี่เดียว หรือหลายซี่แต่ไม่เป็นตำแหน่งที่ติดกัน
  2. Implant support Dental Bridge – เมื่อสูญเสียฟันตำแหน่งติดกันมากกว่า 2 ซี่เป็นต้นไป ก็จะแนะนำทำแบบสะพานฟันโดยมีตัวยึดเป็นรากฟันเทียม 2 ตัว ซึ่งแตกต่างจากการปกติที่ต้องกรอฟันข้างเคียงเพื่อใช้เป็นตัวยึดสะพานฟัน
  3. Implant support Denture – หากคนไข้สูญเสียฟันไปทั้งขากรรไกร หรือเหลือฟันอยู่จำนวนไม่กี่ซี่ ก็จะแนะนำให้ฝังรากฟันเทียม ร่วมกับการทำฟันปลอม รากฟันเทียมจะมีหน้าที่เป็นตัวยึดให้ฟันปลอมอยู่กับที่ คนไข้จะสามารถรับแรงเคี้ยวได้มากขึ้น ทำให้ไม่เจ็บสันเหงือกมากระหว่างรับประทานอาหาร และทำให้ฟันปลอมหลุดได้ยากขึ้น

การปลูกกระดูกในการทำรากฟันเทียมคืออะไร

ปัจจัยที่สำคัญของความสำเร็จในการทำรากฟันเทียมคือ ปริมาณและคุณภาพของกระดูกบริเวณขากรรไกรโดยรอบบริเวณรากฟันเทียม หากมีปริมาณกระดูกที่ไม่เหมาะสม คุณหมออาจแนะนำให้คุณปลูกกระดูก (Bone Graft) เพิ่มเติม เพื่อให้พร้อมต่อการฝัง

ใครบ้างที่ควรต้องปลูกกระดูกก่อนทำรากฟันเทียม

  • ผู้ที่กระดูกขากรรไกรบาง โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มักมีสันกระดูกที่น้อย เนื่องจากเสื่อมสลายไปตามวัย
  • ผู้สูญเสียฟันไปเป็นเวลานาน โดยไม่ได้รับการทดแทนฟันในทันที การที่กระดูกไม่ได้รับแรงเป็นเวลานานๆ จะทำให้กระดูกสลายไปเร็วกว่าปกติ
  • ผู้ที่เคยมีประวัติเหงือกอักเสบรุนแรง เป็นโรคปริทันต์ เคยมีการติดเชื้อ หรืออุบัติเหตุในบริเวณที่ต้องการฝังรากฟันเทียม

ที่มาของกระดูกที่ใช้ในการปลูก

หลังจากปลูกระดูกแล้วคนไข้จะต้องรอประมาณ 3-6 เดือน เพื่อให้กระดูกเจริญเติบโต และพร้อมสำหรับการฝังรากฟันเทียม ใบบางกรณีสามารถปลูกกระดูกพร้อมกับกับฝังรากฟันเทียมได้เลย ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคุณหมอ

วิธีการปฎิบัติตัวหลังได้ทำรากฟันเทียม

การทำความสะอาด

  • งดแปรงฟันแรงๆ และรบกวนบริเวณรอบๆ รากฟันเทียม
  • เวลาในการเริ่มทำความสะอาดขึ้นอยู่กับการรักษา โดยปกติสามารถแปรงฟันได้เลยในวันรุ่งขึ้น ยกเว้นกรณีที่ทันตแพทย์ทำหัตถการเพิ่มเติมเช่นการปลูกเหงือก หรือการปลูกกระดูก ซึ่งคนไข้จะได้รับคำแนะนำจากคุณหมอเพิ่มเติม
  • บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากฆ่าเชื้อ (Chlohexidine mouthwash) 1 สัปดาห์
  • ควรเพิ่มการทำความสะอาดบริเวณที่ใส่รากเทียม และเหงือกรอบๆ ด้วยแปรงกระจุก แปรงซอกฟัน หรือไหมขัดฟัน ตามที่คุณหมอแนะนำ

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

  • ภายใน2-3 วันแรก หลีกเลี่ยงใช้หลอด เพราะแรงดูดอาจทำให้เลือดออกได้
  • ภายใน 2 อาทิตย์แรก – เลือกรับประทานอาหารอ่อน เคี้ยวง่าย เพื่อให้เนื้อเยื่อโดยรอบได้ฟื้นฟู
  • ควรหลีกเลี่ยงน้ำอัดลม เครื่องดื่มหรืออาหารที่ร้อนจัด

ข้อแนะนำการปฎิบัติตัวหลังทำรากเทียม

  • ห้ามใช้ลิ้นดุนบริเวณรากฟันเทียม เพราะอาจทำให้เลือดออก และรากเทียมหลุดได้
  • มีอาการบวมบริเวณใบหน้าในช่วง 2-3 วันแรก หลักจากนั้นจะค่อยๆ ลดลง คนไข้สามารถประคบเย็นเพื่อลดบวมได้
  • งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 1 อาทิตย์ เนื่องจากรบกวนกระบวนการหายของแผล
  • งดออกกำลังกาย 1-2 วันแรก หลังจากนั้นคนไข้สามารถออกกำลังเบาๆ ได้ เมื่อคนไข้รับประทานอาหารได้ตามปกติ คนไข้สามารถออกกำลังได้ตามปกติใน 1-2 อาทิตย์

ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับรากฟันเทียม

  1. รากฟันเทียมหลวม
    เกิดจากการที่กระดูกโดยรอบไม่เชื่อมกับรากฟันเทียม ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงที่จะนำไปสู่ความล้มเหลวในการฝังรากฟันเทียม เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น มีมวลกระดูก หรือความหนาแน่นของกระดูกไม่เพียงพอ ซึ่งมักพบในคนไข้สูงอายุ ผู้สูบบุหรี่ มีโรคเหงือกอักเสบ และผู้ที่มีสุขอนามัยช่องปากที่ไม่ดี หากคนไข้รู้สึกว่ารากฟันเทียมที่ฝังไปขยับได้ หรือหลวม คนไข้ควรรีบติดต่อกับคลินิกโดยเร็ว
  2. การติดเชื้อ
    รากฟันเทียมอักเสบ หรือติดเชื้อ มีโอกาสเกิดขึ้นได้ ก่อให้เกิดอาการเจ็บ หรือมีไข้ตัวร้อน หากไม่ได้รับการรักษารากฟันเทียมอาจเป็นหนอง กระดูกละลายใกล้รากฟันเทียม หรือเกิดรากเทียมเทียมหลุดออกมา หลังฝังรากฟันเทียมคนไข้ควรปฎิบัติตามคำแนะนำของคุณหมอ โดยเฉพาะการรักษาความสะอาดในบริเวณที่ฝังรากฟันเทียมอยู่เสมอ
  3. เลือดออก
    หลังฝังรากฟันเทียม คนไข้อาจมีเลือดออกซึมๆ ได้บ้างเล็กน้อย แต่ไม่ควรเกินกว่า 6 ชม. หากคนไข้มีเลือดออกมากผิดปกติ หรือเลือดยังคงซึมอยู่เรื่อยๆ เกิน 6 ชม. คนไข้ควรติดต่อคลินิกในทันที
  4. การบาดเจ็บต่อเส้นประสาท
    การฝังรากฟันเทียมในตำแหน่งใกล้กับเส้นประสาทอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ ส่งผลให้มีอาการชาตามมา ส่วนใหญ่เส้นประสาทที่บาดเจ็บสามารถหายเองได้ในช่วงระยะเวลา 4-6 สัปดาห์ แต่ก็มีโอกาสที่จะเป็นอย่างถาวร ซึ่งทางคลินิกจะใช้เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ 3 มิติ (3D CT scan) มาช่วยวางแผนการฝังรากฟันเทียม ทำให้สามารถรู้ล่วงหน้าว่าตำแหน่งที่จะฝังมีเส้นประสาทอยู่ใกล้ๆ หรือไม่ นอกจากนี้การใช้ไกด์มาช่วยก็จะทำให้การฝังรากฟันเทียมแม่นยำ อยู่ในทิศทาง และองศาที่ต้องการ ไม่กระทบต่อเส้นประสาทใกล้เคียง
  5. รากฟันเทียมทะลุโพรงไซนัส
    ฟันด้านบนจะอยู่ใต้โพรงไซนัสซึ่งเป็นช่องว่างที่มีอากาศอยู่ การฝังรากเทียมสามารถทะลุกระดูกเข้าไปสู่โพรงไซนัส ทำให้มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อตามมาได้ ถึงอย่างไรก็ตาม การบาดเจ็บต่อโพรงไซนัสเป็นผลข้างเคียงที่พบน้อย ทันตแพทย์สามารถประเมินได้ล่างหน้าจากการเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ 3 มิติ (3D CT scan)