รอยยิ้มคือประตูบานแรกที่สร้างความประทับใจ แต่ปัญหาฟันห่างอาจทำให้หลายคนสูญเสียความมั่นใจ ไม่กล้ายิ้มกว้างอย่างที่เคยเป็น ปัญหานี้ไม่ได้ส่งผลแค่เรื่องความสวยงาม แต่อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพช่องปากอื่น ๆ ได้อีกด้วย บทความนี้ Dream Smile Dental Clinic ได้รวบรวม 10 วิธีแก้ฟันห่างที่จะช่วยคืนรอยยิ้มสวยงามและสร้างความมั่นใจให้กลับคืนมาอีกครั้ง
ฟันห่างคืออะไร
ฟันห่าง (Diastema) คือ ภาวะที่มีช่องว่างเกิดขึ้นระหว่างฟันสองซี่ สามารถเกิดขึ้นได้กับฟันทุกซี่ในช่องปาก แต่บริเวณที่พบได้บ่อยที่สุดคือฟันหน้าบน 2 ซี่ ซึ่งช่องว่างเหล่านี้อาจมีขนาดเล็กจนแทบมองไม่เห็น หรืออาจมีขนาดใหญ่จนสังเกตได้ชัดเจน ฟันห่างสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยมีสาเหตุที่หลากหลายแตกต่างกันไป การเข้าใจถึงสาเหตุจะช่วยให้เราสามารถเลือกวิธีแก้ฟันห่างที่เหมาะสมและตรงจุดมากที่สุด
ฟันห่างเกิดจากอะไร
ฟันห่างสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยร่วมกัน ตั้งแต่พันธุกรรมไปจนถึงพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน การทราบสาเหตุที่แท้จริงจะช่วยให้ทันตแพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหากลับมาเกิดซ้ำอีกในอนาคต โดยสาเหตุหลัก ๆ ที่พบได้บ่อย มีดังนี้
- ขนาดของฟันและขากรรไกรไม่สมดุลกัน กรณีที่ฟันมีขนาดเล็กกว่าขากรรไกร หรือขากรรไกรมีขนาดใหญ่เกินไป ทำให้มีพื้นที่เหลือและเกิดเป็นช่องว่างระหว่างฟัน
- เนื้อเยื่อยึดริมฝีปากบนผิดปกติ หากเนื้อเยื่อนี้มีขนาดใหญ่หรือเกาะในตำแหน่งที่ต่ำเกินไป จะเข้ามาแทรกระหว่างฟันหน้า ทำให้ฟันทั้งสองซี่ไม่สามารถชิดกันได้สนิท
- พฤติกรรมบางอย่างในวัยเด็ก การดูดนิ้ว การใช้ลิ้นดุนฟัน หรือการใช้จุกนมหลอกเป็นเวลานาน สามารถสร้างแรงผลักให้ฟันหน้าค่อย ๆ เคลื่อนที่ออกจากกันจนเกิดเป็นช่องว่าง
- การสูญเสียฟัน เมื่อมีการถอนฟันหรือสูญเสียฟันไป ฟันซี่ข้างเคียงอาจเคลื่อนที่หรือล้มเข้าหาช่องว่างนั้น ทำให้เกิดช่องว่างใหม่ในตำแหน่งอื่น ๆ ได้
- โรคเหงือก เมื่อเหงือกอักเสบรุนแรง อาจส่งผลให้กระดูกที่รองรับฟันละลายตัว ทำให้ฟันโยกและเคลื่อนที่ออกจากตำแหน่งเดิมจนเกิดเป็นฟันห่าง
ข้อเสียของฟันห่าง
แม้ฟันห่างในบางวัฒนธรรมอาจมองว่าเป็นลักษณะเด่น แต่ในทางการแพทย์แล้ว การมีช่องว่างระหว่างฟันอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพช่องปากและบุคลิกภาพได้มากกว่าที่คิด การปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ทำการรักษา อาจนำไปสู่ปัญหาที่ซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นในอนาคตได้ นี่คือข้อเสียหลัก ๆ ของการมีฟันห่าง
- ปัญหาด้านความสวยงามและบุคลิกภาพ เป็นข้อเสียที่เห็นได้ชัดที่สุด ทำให้หลายคนขาดความมั่นใจในการยิ้ม การพูดคุย และการเข้าสังคม
- เศษอาหารติดง่าย ช่องว่างระหว่างฟันเป็นแหล่งสะสมของเศษอาหาร ทำความสะอาดได้ยาก ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดฟันผุและกลิ่นปาก
- ปัญหาโรคเหงือก เศษอาหารที่ตกค้างเป็นเวลานานจะกลายเป็นคราบหินปูน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคเหงือกอักเสบ เหงือกร่น และอาจรุนแรงถึงขั้นสูญเสียฟันได้
- ปัญหาการสบฟันและการพูด ฟันห่างอาจส่งผลต่อการสบฟันที่ผิดปกติ ทำให้ประสิทธิภาพการบดเคี้ยวลดลง และในบางกรณีอาจทำให้การออกเสียงบางคำไม่ชัดเจน เช่น เสียง ส. เสือ
- ฟันซี่อื่นล้มหรือเคลื่อนที่ ช่องว่างที่เกิดขึ้นเป็นเหมือนการเปิดโอกาสให้ฟันซี่ข้างเคียงเคลื่อนที่หรือล้มเข้ามา ทำให้การเรียงตัวของฟันโดยรวมผิดปกติไปจากเดิม
10 วิธีแก้ฟันห่าง

ปัจจุบันเทคโนโลยีทางทันตกรรมมีความก้าวหน้าไปอย่างมาก ทำให้มีทางเลือกในการแก้ฟันห่างที่หลากหลาย ตั้งแต่วิธีที่ง่ายและรวดเร็วไปจนถึงวิธีที่สามารถแก้ไขปัญหาโครงสร้างฟันที่ซับซ้อนได้ การเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดจำเป็นต้องได้รับการประเมินจากทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้ทั้งสวยงามและมีสุขภาพช่องปากที่ดีในระยะยาว
1. การอุดปิดช่องว่างด้วยวัสดุสีเหมือนฟัน (Composite Bonding)
เป็นวิธีแก้ฟันห่างที่ง่ายและรวดเร็วที่สุด โดยทันตแพทย์จะใช้วัสดุอุดฟันประเภทคอมโพสิตเรซิน (Composite Resin) ซึ่งมีสีใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติ มาเติมแต่งบริเวณด้านข้างของฟันเพื่อขยายขนาดของฟันให้มาชิดกันพอดี วิธีนี้เหมาะสำหรับช่องว่างขนาดเล็ก ไม่ต้องกรอฟัน และมักจะเสร็จสิ้นได้ภายในครั้งเดียว ถือเป็นทางเลือกที่ประหยัดและเห็นผลทันที แต่มีความแข็งแรงน้อยกว่าวัสดุประเภทอื่นและอาจติดสีจากอาหารได้
2. การทำวีเนียร์ เคลือบผิวฟัน (Dental Veneers)
การทำวีเนียร์เป็นการใช้วัสดุเซรามิกบาง ๆ ที่ออกแบบมาเฉพาะบุคคลแปะทับลงบนผิวหน้าฟัน เพื่อปิดช่องว่าง พร้อมทั้งสามารถปรับเปลี่ยนสีและรูปร่างของฟันให้สวยงามได้ในคราวเดียวกัน วีเนียร์ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ สวยงาม และมีความทนทานสูง ทนต่อการติดคราบสีได้ดี เป็นหนึ่งในวิธีแก้ฟันห่างที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มผู้ที่ต้องการปรับปรุงรอยยิ้มให้สมบูรณ์แบบ
3. การจัดฟันแบบติดเครื่องมือ (Braces)
การจัดฟันแบบติดเครื่องมือ เป็นวิธีการมาตรฐานในการเคลื่อนฟันและปิดช่องว่าง โดยการติดเครื่องมือ (Bracket) ไว้บนผิวฟันและใช้ลวดดึงฟันให้ค่อย ๆ เคลื่อนที่เข้ามาชิดกัน วิธีนี้เหมาะสำหรับกรณีฟันห่างที่มีความซับซ้อน หรือมีปัญการสบฟันร่วมด้วย แม้จะใช้ระยะเวลานานกว่าวิธีอื่น แต่ก็สามารถแก้ไขปัญหาการเรียงตัวของฟันได้อย่างครอบคลุมและให้ผลลัพธ์ที่ถาวร
4. การจัดฟันใส (Clear Aligners)
จัดฟันใสเป็นนวัตกรรมการแก้ฟันห่างที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เพราะเป็นการใช้เครื่องมือจัดฟันที่ทำจากพลาสติกใส ถอดออกได้ และออกแบบมาเฉพาะบุคคลเพื่อเคลื่อนฟันทีละน้อย ข้อดีคือมีความสวยงาม สังเกตเห็นได้ยาก สามารถถอดทำความสะอาดและรับประทานอาหารได้ตามปกติ เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการให้ใครเห็นเครื่องมือจัดฟัน และมีวินัยในการใส่เครื่องมือตามที่ทันตแพทย์แนะนำ
5. การครอบฟัน (Dental Crown)
การครอบฟัน คือการสร้างฟันใหม่ขึ้นมาเพื่อสวมทับฟันซี่เดิมที่เสียหายหรือมีขนาดเล็กเกินไปทั้งซี่ วิธีนี้มักใช้ในกรณีที่ฟันห่างเกิดร่วมกับปัญหาฟันผุขนาดใหญ่ ฟันแตกบิ่น หรือฟันที่ผ่านการรักษารากฟันมาแล้ว ทันตแพทย์จะทำการกรอฟันซี่นั้นให้เล็กลงแล้วจึงใช้ครอบฟันที่ออกแบบให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อยเพื่อปิดช่องว่างระหว่างฟัน ทำให้ฟันกลับมาแข็งแรงและใช้งานได้ดังเดิม
6. การทำสะพานฟัน (Dental Bridge)
สะพานฟันเป็นวิธีที่ใช้ทดแทนฟันที่สูญเสียไปทั้งซี่ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของฟันห่าง โดยจะใช้ฟันซี่ข้างเคียงเป็นหลักในการยึดฟันปลอมที่อยู่ตรงกลางเพื่อปิดช่องว่างนั้น การทำสะพานฟันช่วยป้องกันไม่ให้ฟันซี่ข้างเคียงล้มเข้าหาช่องว่าง และช่วยให้กลับมาบดเคี้ยวอาหารได้ดีขึ้น เป็นทางเลือกในการแก้ฟันห่างที่เกิดจากการถอนฟันหรือสูญเสียฟันไป และไม่ต้องการใส่รากเทียม
7. การใส่รากฟันเทียม (Dental Implant)
ในกรณีที่ฟันห่างเกิดจากการสูญเสียฟันไป การใส่รากเทียมถือเป็นวิธีทดแทนฟันที่ดีที่สุดและใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติมากที่สุด โดยทันตแพทย์จะฝังรากฟันที่ทำจากไทเทเนียมลงไปในกระดูกขากรรไกร แล้วจึงใส่ครอบฟันลงไปด้านบน วิธีนี้ให้ความแข็งแรงทนทานสูง ไม่ต้องกรอฟันซี่ข้างเคียง และช่วยรักษากระดูกขากรรไกรไม่ให้ละลายตัวไปตามกาลเวลา
8. การรักษาโรคเหงือกอักเสบ (Periodontal Treatment)
หากสาเหตุของฟันห่างเกิดจากโรคเหงือกอักเสบที่ทำให้ฟันโยกและเคลื่อนที่ การแก้ฟันห่างที่สำคัญที่สุดคือการรักษาโรคเหงือกให้หายดีเสียก่อน โดยทันตแพทย์จะทำการขูดหินปูนและเกลารากฟัน เพื่อกำจัดเชื้อโรคและทำให้เหงือกกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ในบางกรณี เมื่อเหงือกกระชับขึ้น ฟันอาจเคลื่อนกลับเข้าที่ได้เอง หรืออาจต้องใช้วิธีอื่น เช่น การจัดฟัน ร่วมด้วยหลังการรักษา
9. การผ่าตัดตกแต่งเนื้อเยื่อเหงือก (Frenectomy)
สำหรับกรณีที่ฟันห่างมีสาเหตุมาจากเนื้อเยื่อที่ยึดระหว่างริมฝีปากกับเหงือกมีขนาดใหญ่หรือเกาะในตำแหน่งที่ผิดปกติ ทันตแพทย์จะแนะนำให้ทำการผ่าตัดเล็กเพื่อตัดแต่งเนื้อเยื่อดังกล่าวออกไป หลังจากนั้นฟันอาจจะค่อย ๆ เคลื่อนมาชิดกันได้เอง หรือจำเป็นต้องใช้การจัดฟันร่วมด้วยเพื่อปิดช่องว่างให้สนิท ซึ่งเป็นการแก้ไขที่ต้นเหตุโดยตรง
10. การศัลยกรรมตกแต่งขอบเหงือก (Gum Contouring Surgery)
ในบางครั้งการแก้ปัญหาฟันห่างอาจต้องทำร่วมกับการตกแต่งเหงือกเพื่อให้รอยยิ้มดูสวยงามสมส่วน โดยเฉพาะในเคสที่ทำวีเนียร์หรือครอบฟัน การศัลยกรรมตกแต่งขอบเหงือกจะช่วยปรับระดับความสูงของเหงือกให้เท่ากัน ทำให้ฟันที่ทำขึ้นมาใหม่มีขนาดและรูปร่างที่เหมาะสม ส่งผลให้รอยยิ้มโดยรวมดูสวยงามและเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น
ควรเลือกวิธีไหนดี
การตัดสินใจเลือกวิธีแก้ฟันห่างที่เหมาะสมที่สุดขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุของปัญหา ขนาดของช่องว่าง งบประมาณ ระยะเวลา และความต้องการของคนไข้แต่ละราย การเข้ามาปรึกษาทันตแพทย์เพื่อตรวจประเมินอย่างละเอียดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อให้เราได้รับแผนการรักษาที่ตอบโจทย์และให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
| วิธีการ | ข้อดี | ข้อเสีย |
| อุดฟัน | รวดเร็ว ราคาไม่สูง ไม่ต้องกรอฟัน | ความทนทานต่ำ ติดสีง่าย |
| วีเนียร์ | สวยงามเป็นธรรมชาติ ทนทาน ปรับสี รูปร่างฟันได้ | ราคาสูง ต้องกรอผิวฟันเล็กน้อย |
| จัดฟัน | แก้ไขได้ทุกความซับซ้อน ผลลัพธ์ถาวร | ใช้เวลานาน สังเกตเห็นเครื่องมือ |
| จัดฟันใส | สวยงาม ถอดได้ สะดวกสบาย | ราคาสูง ต้องมีวินัยในการใส่ |
| ครอบฟัน | แข็งแรง แก้ปัญหาฟันเสียหายร่วมด้วย | ต้องกรอฟันเยอะ ราคาสูง |
| รากฟันเทียม | แข็งแรงเหมือนฟันจริง รักษาการสบฟัน ไม่ต้องกรอฟันข้างเคียง | ราคาสูง ใช้เวลาในการรักษา |
คำแนะนำจากคุณหมอในการแก้ฟันห่าง
“ทพญ.เกวลิน นพคุณเมธีแนะนำว่าควรให้ความสำคัญกับการตรวจอย่างละเอียด เพื่อวางแผนการรักษาร่วมกัน ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้ฟันกลับมาสวยงาม แต่ยังช่วยให้ฟันใช้งานได้ดีในระยะยาว”
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับวิธีแก้ฟันห่าง
เราได้รวบรวมคำถามที่หลายคนสงสัยเกี่ยวกับการแก้ฟันห่าง เพื่อช่วยให้ทุกคนเข้าใจภาพรวมของการรักษาและคลายความกังวลใจเบื้องต้นก่อนตัดสินใจเข้ามาปรึกษาทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของเรา
แก้ฟันห่างเจ็บไหม และใช้เวลานานแค่ไหน
ความเจ็บและระยะเวลาขึ้นอยู่กับวิธีที่เลือกอย่างมาก การอุดฟันมักจะไม่เจ็บและเสร็จใน 1-2 ชั่วโมง ส่วนการทำวีเนียร์หรือครอบฟันอาจมีการฉีดยาชาและใช้เวลา 2-3 ครั้ง สำหรับการจัดฟันอาจรู้สึกตึง ๆ ในช่วงแรก และใช้เวลาตั้งแต่ 6 เดือนถึง 2-3 ปี ในขณะที่การใส่รากเทียมเป็นกระบวนการผ่าตัดที่ต้องใช้เวลาหลายเดือนเพื่อให้กระดูกยึดติดกับรากเทียม
วิธีแก้ฟันห่างแบบไหนดีและคุ้มค่าที่สุด
คำว่า “ดีที่สุด” หรือ “คุ้มค่าที่สุด” นั้นแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล หากมองในแง่ความรวดเร็วและประหยัด การอุดฟันอาจเป็นคำตอบ แต่หากต้องการความสวยงามและทนทานในระยะยาว การทำวีเนียร์หรือจัดฟันอาจคุ้มค่ากว่า ส่วนในกรณีที่สูญเสียฟันไป การลงทุนกับรากฟันเทียมถือเป็นการแก้ปัญหาที่ให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงฟันธรรมชาติและดีต่อสุขภาพช่องปากโดยรวมมากที่สุด
หลังจากแก้ฟันห่างแล้ว ช่องว่างจะกลับมาอีกหรือไม่
โอกาสที่ช่องว่างจะกลับมาเกิดขึ้นได้ หากไม่ดูแลรักษาหรือแก้ไขที่ต้นเหตุอย่างถูกวิธี เช่น ในเคสจัดฟัน การไม่ใส่รีเทนเนอร์อย่างสม่ำเสมอจะทำให้ฟันเคลื่อนกลับตำแหน่งเดิมได้ หรือในเคสที่ฟันห่างจากพฤติกรรมลิ้นดุนฟัน หากยังไม่ปรับพฤติกรรมปัญหาก็อาจกลับมาอีกครั้ง ดังนั้น การปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
สรุปบทความ

ปัญหาฟันห่างไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลอีกต่อไป ด้วยเทคโนโลยีทางทันตกรรมที่ทันสมัย ทำให้มีวิธีแก้ฟันห่างให้เลือกหลากหลายวิธี สิ่งสำคัญคือการเข้ารับการตรวจและปรึกษากับทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ Dream Smile Dental Clinic เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับเราโดยเฉพาะ เพื่อคืนรอยยิ้มที่สวยงามและเรียกความมั่นใจให้กลับคืนมาอีกครั้ง